ในยุคที่รถยนต์ไฟฟ้า (EV) เข้ามามีบทบาทมากขึ้นในชีวิตประจำวัน เจ้าของรถ EV หลายคนเริ่มมองหาวิธีติดตั้ง เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV Charger) ที่บ้าน เพื่อให้สะดวก ประหยัด และปลอดภัยกว่าการไปชาร์จนอกบ้าน แต่สิ่งหนึ่งที่หลายคนยังไม่เข้าใจคือคำว่า “ชุดวงจรที่ 2” หรือ “ระบบไฟฟ้าวงจรแยกสำหรับเครื่องชาร์จ EV” ที่มักได้ยินจากช่างไฟหรือผู้รับติดตั้ง ซึ่งแท้จริงแล้วมันคือสิ่งสำคัญมากที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของบ้านและรถของคุณโดยตรง วันนี้เราจะพาคุณมาทำความเข้าใจแบบละเอียดว่า ชุดวงจรที่ 2 มีอะไรบ้าง,ทำไมต้องมี,ติดตั้งยังไง,ใช้งบเท่าไหร่ และต้องดูแลอย่างไร
🔹 1. “ชุดวงจรที่ 2” คืออะไร? “ชุดวงจรที่ 2” หมายถึงการ แยกระบบไฟฟ้าออกจากวงจรหลักของบ้าน เพื่อใช้เฉพาะกับเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV Charger) โดยไม่ไปรวมโหลดกับเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น ๆ เช่น แอร์ ตู้เย็น หรือเครื่องทำน้ำอุ่น พูดง่าย ๆ คือเป็น “วงจรเฉพาะทาง” ที่ทำหน้าที่จ่ายไฟให้กับ EV Charger โดยตรง เพื่อให้ปลอดภัยจากปัญหาไฟเกิน โหลดเกิน หรือไฟตก
🔹 2. ทำไมต้องมีวงจรแยกสำหรับเครื่องชาร์จ EV?
เนื่องจากเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ามีกำลังไฟสูงกว่าการใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าทั่วไปมาก เช่น
👉 เครื่องชาร์จขนาด 7.4 กิโลวัตต์ (kW) ใช้ไฟประมาณ 32 แอมป์
👉 เครื่องชาร์จขนาด 11 kW ใช้ไฟประมาณ 50 แอมป์
หากใช้ไฟร่วมกับวงจรเดิมของบ้าน อาจทำให้ระบบไฟฟ้าโอเวอร์โหลดจนเกิดความร้อนสูง เสี่ยงไฟฟ้าลัดวงจรหรือเบรกเกอร์ช็อต ดังนั้น การติดตั้งชุดวงจรที่ 2 จึงเป็นข้อบังคับในมาตรฐานการติดตั้ง EV Charger ที่ปลอดภัย
🔹 3. อุปกรณ์ใน “ชุดวงจรที่ 2” มีอะไรบ้าง?
โดยทั่วไป ชุดวงจรที่ 2 สำหรับเครื่องชาร์จ EV จะประกอบด้วยอุปกรณ์หลัก ๆ ดังนี้:
✅ 1. เบรกเกอร์หลัก (Main Breaker) ทำหน้าที่ตัดไฟเมื่อเกิดกระแสไฟเกิน หรือไฟรั่วในระบบ โดยจะเลือกขนาดให้เหมาะกับกำลังของเครื่องชาร์จ เช่น
👉 32A สำหรับเครื่องชาร์จ 7.4 kW
👉 50A สำหรับเครื่องชาร์จ 11 kW
✅ 2. RCBO (Residual Current Breaker with Overload) เป็นเบรกเกอร์ที่รวมระบบป้องกันไฟรั่วและไฟเกินไว้ในตัวเดียวกัน มีความไวสูง ป้องกันไฟดูดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถือเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นในทุกวงจร EV
✅ 3. สายไฟแรงดันสูง (Power Cable) เลือกใช้สายไฟที่ทนกระแสได้มากกว่ากำลังใช้งานจริง เช่น สายขนาด 6 mm² หรือ 10 mm² เพื่อให้รับกระแสได้เพียงพอและลดการสูญเสียพลังงาน
✅ 4. ตู้โหลด (Consumer Unit) เป็นจุดรวมวงจรที่ติดตั้งเบรกเกอร์และอุปกรณ์ป้องกันไฟทั้งหมด อาจแยกต่างหากจากตู้โหลดหลักของบ้าน
✅ 5. สายดิน (Grounding System) ใช้สำหรับระบายกระแสไฟส่วนเกินลงดิน หากเกิดไฟรั่ว ช่วยป้องกันไฟดูดและปกป้องอุปกรณ์ไม่ให้เสียหาย
✅ 6. เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV Charger Unit) เป็นอุปกรณ์ปลายทางที่รับไฟจากวงจรที่ 2 โดยตรง ใช้ควบคุมการชาร์จรถยนต์อย่างปลอดภัยและมีระบบตัดไฟอัตโนมัติ
🔹 4. ขนาดสายไฟและเบรกเกอร์ควรเลือกอย่างไร? ขึ้นอยู่กับขนาดของเครื่องชาร์จ EV ที่จะติดตั้ง เช่น
กำลังเครื่องชาร์จ |
กระแสไฟ (A) |
สายไฟที่แนะนำ |
เบรกเกอร์ |
3.7 kW |
16A |
2.5 mm² |
20A |
7.4 kW |
32A |
6 mm² |
40A |
11 kW |
50A |
10 mm² |
63A |
ช่างไฟฟ้าที่มีใบอนุญาตจะช่วยคำนวณขนาดที่เหมาะสม เพื่อให้ระบบปลอดภัยและเป็นไปตามมาตรฐาน มอก.
🔹 5. ระบบไฟบ้านแบบเฟสเดียวกับ 3 เฟสต่างกันอย่างไร?
-
ระบบไฟ 1 เฟส (Single Phase) ใช้ในบ้านทั่วไป ให้ไฟ 220V เหมาะกับเครื่องชาร์จขนาดไม่เกิน 7.4 kW
-
ระบบไฟ 3 เฟส (Three Phase) ใช้ในบ้านหรืออาคารขนาดใหญ่ ให้ไฟ 380V สามารถติดตั้งเครื่องชาร์จขนาด 11–22 kW ได้
การเลือกขึ้นอยู่กับโครงสร้างไฟของบ้าน หากต้องการชาร์จเร็ว ควรปรับระบบไฟเป็น 3 เฟส (โดยขออนุญาตการไฟฟ้าได้)
🔹 6. ค่าใช้จ่ายในการติดตั้ง “ชุดวงจรที่ 2” โดยทั่วไป ราคาติดตั้งชุดวงจรที่ 2 จะแบ่งเป็น 2 ส่วน
รายการ |
ประมาณราคา (บาท) |
อุปกรณ์ (เบรกเกอร์, RCBO, สายไฟ, ตู้โหลด ฯลฯ) |
6,000 – 15,000 |
ค่าแรงติดตั้ง (ตามระยะเดินสาย) |
3,000 – 10,000 |
รวมโดยประมาณ |
9,000 – 25,000 บาท |
ราคาจะแตกต่างกันไปตามระยะห่างจากตู้โหลดถึงจุดติดตั้ง EV Charger และความซับซ้อนของการเดินสาย
🔹 7. ใครควรเป็นผู้ติดตั้ง? ควรเลือก ช่างไฟฟ้าที่มีใบอนุญาต (ภาคีวิศวกรไฟฟ้า หรือช่างที่ได้รับการอบรม EV Charger) เท่านั้น เพื่อความปลอดภัยและให้การรับประกันจากบริษัทผู้จำหน่ายยังคงใช้ได้
🔹 8. การตรวจสอบก่อนติดตั้ง ก่อนติดตั้งควรตรวจสอบสิ่งต่อไปนี้:
✅ มิเตอร์ไฟฟ้ามีกำลังเพียงพอ (30A ขึ้นไป)
✅ ระบบสายดินพร้อมใช้งาน
✅ ไม่มีการต่อพ่วงอุปกรณ์ไฟฟ้าหนักในวงจรเดียวกัน
✅ ตรวจเช็กสภาพสายไฟเดิมของบ้าน
หากไม่มั่นใจ ควรให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบโหลดไฟก่อนเสมอ
🔹 9. การดูแลชุดวงจรที่ 2 หลังติดตั้ง
👉 ตรวจเช็กเบรกเกอร์ทุก 3 เดือน
👉 ตรวจสภาพสายไฟและหัวปลั๊กว่าไม่มีรอยไหม้
👉 ห้ามใช้ร่วมกับเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น
👉 หากมีไฟตกหรือไฟดับบ่อย ควรเรียกช่างตรวจสอบระบบไฟ
🔹 10. สรุป: ทำไม “ชุดวงจรที่ 2” ถึงสำคัญมาก
1. ช่วยให้ระบบไฟบ้านปลอดภัยจากโหลดเกิน 2. ป้องกันอุบัติเหตุไฟฟ้าลัดวงจร 3. ทำให้เครื่องชาร์จ EV ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ 4. ไม่กระทบกับเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นในบ้าน 5. เป็นไปตามมาตรฐานการติดตั้งที่การไฟฟ้ารับรอง
🔹 11. แนะนำเพจติดตั้งเครื่องชาร์จพร้อมชุดวงจรที่ 2
หากคุณกำลังมองหาผู้ให้บริการติดตั้ง EV Charger พร้อม “ชุดวงจรที่ 2” ที่ได้มาตรฐาน ปลอดภัย และครบวงจร
👉 ติดต่อเพจ Twac EV Charger ทีมช่างมืออาชีพพร้อมให้คำปรึกษา ตรวจสอบหน้างาน และติดตั้งทั่วประเทศ